Typeface กับ Font คืออันเดียวกัน?
ในแวดวงดีไซน์การที่งานจะออกมาดีนั้นนอกจากการเลือกใช้รูปและสีแล้ว การเลือกใช้ฟ้อนต์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกันเพราะถึงแม้มันจะเป็นจุดเล็ก ๆ ที่หลายคนมักมองข้ามแต่มันก็เป็นองค์ประกอบที่สามารถเปลี่ยน Mood and Tone ของสินค้า แบรนด์ หรือภาพนั้น ๆ ได้เลย
ลองดูฟ้อนต์ที่ใช้ภาพสองภาพนี้เราจะเห็นได้ว่าภาพทางซ้ายมือการเลือกใช้ฟ้อนต์จะให้ความรู้สึกถึงความเก่า หรือ Vintage มากกว่ารูปภาพทางขวาที่ใช้ฟ้อนต์ที่ดูทันสมัย จึงทำให้ Artwork ที่เห็นดูล้ำสมัยมากขึั้น
ถึงแม้ว่าหลาย ๆ คนจะเข้าใจว่า Typeface กับ Font เป็นสิ่งเดียวกันแต่จริง ๆ แล้วมันมีความแตกต่างระหว่างคำสองคำนี้อยู่ เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพมากขึ้นเรามารู้จักกับความหมายของแต่ละคำกันก่อน
Typeface คืออะไร?
Typeface คือเซทของรูปแบบตัวอักษรที่มีขนาด ความหนา ระยะห่างที่เท่ากัน โดยชุดรูปแบบตัวอักษรนี้จะถูกออกแบบโดย ‘นักออกแบบตัวอักษร’ ซึ่งแต่ละ Typeface จะมีเอกลักษณ์และลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกสักนิด ในหนึ่ง Typefont สามารถมีหลายฟ้อนต์ได้ ตัวอย่างเช่น ฟ้อนต์ Helvetica Bold Condensed Italic , Helvetica Condensed Italic, และ Helvetica Bold Condensed ถึงแม้ฟ้อนต์ทั้ง 3 อันนี้จะมีความใกล้เคียงกันแต่ทั้ง 3 ฟ้อนต์นั้นเป็นคนละฟ้อนต์กันแต่อยู่ใน Typeface เดียวกันที่ชื่อว่า Helvetica
และตัวอย่าง Typeface ที่เราน่าจะคุ้นเคยกันในภาษาไทยได้แก่ Cordia และ Angsana ส่วนสำหรับ Typeface ในภาษาอังกฤษ จะแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ
Serif Typeface
ถ้าตามชื่อ Serif Typeface คือ Typeface ที่มี Serif หรือ เชิง ซึ่งจะให้ความรู้สึกหรูหราและน่าดึงดูด ซึ่งแบบอักษร Serif มีประวัติยาวนานหลายร้อยปี และหนึ่งในแบบอักษรที่เก่าแก่ที่สุดที่ใช้ในโลกตะวันตกคือ Roman ที่ได้รับการพัฒนาโดย Nicolas Jensen ในปี 1470 โดยจุดประสงค์ที่พัฒนาเพื่อให้อ่านข้อความในหนังสือพิมพ์ง่ายขึ้น เพราะก่อนหน้าที่จะมีการนำ Roman มาใช้นั้น หนังสือพิมพ์ในยุโรปต่างใช้ Blackletter หรือ Gothic Script ซึ่งเป็น Typeface ที่อ่านยาก
และตัวอย่างของ Serif Typeface ที่เป็นที่รู้จักกันคือ Garamond และ Didot
Sans Serif Typeface
แบบอักษร Sans Serif นี้เป็นแบบอักษรที่มีลักษณะตรงข้ามกับแบบอักษร Serif โดยสิ้นเชิงเพราะเป็น Typeface ที่ไม่มีเชิง หรือ Serif ซึ่งจะทำให้อ่านง่ายกว่า เป็นกันเอง ไม่เป็นทางการจนเกินไป และตัวอย่างของ Typeface ที่เรามักจะเห็นกันบ่อย ๆ คือ Helvetica และ Verdana
Decorative Typeface
เป็นรูปแบบฟ้อนต์ที่ดึงดูดสายตา ดูสนุก และมีความแตกต่าง ซึ่งตัวอย่างรูปแบบฟ้อนต์แบบ Decorative คือ Outlaw และ Lansdowne แต่รูปแบบฟ้อนประเภทนี้ไม่ค่อยเหมาะกับการเขียนเป็น Body สักเท่าไหร่เพราะรบกวนสายตาและอ่านยาก แต่เหมาะกับการเป็น Headline หรือป้ายชื่อร้านค้ามากกว่าเพราะมีความสะดุดตา
Script Typeface
รูปแบบอักษร Script นี้จะมีลักษณะเหมือนลายมือ ซึ่งถ้าผลิตภัณฑ์และแบรนด์ของคุณต้องการที่จะสื่อถึงความเป็น Handcrafted และ Personalized คุณก็ควรเลือกใช้ Script Typeface แต่ข้อควรระวังของการใช้รูปแบบตัวอักษรนี้คือไม่ควรเป็นขนาดเล็กเพราะอ่านยาก รูปแบบฟ้อนต์นี้เหมาะกับการเป็น Headline หรือ Logo เหมือน Decorative Typefacfe ตัวอย่าง Script Typeface ที่มักจะถูกเลือกเอาไปใช้คือ Kauffmann และ Brush Script
Font คืออะไร?
ฟ้อนต์เป็นส่วนหนึ่งของ Typeface ซึ่งคำว่า Font มาจากคำว่า ‘fount’ ที่แปลว่าสิ่งที่ถูกหลอมเพราะในสมัยก่อนเวลาจะพิมพ์อะไร ตัวแม่พิมพ์มักจะสร้างมาจากโลหะแล้วเอามาหลอมลงพิมพ์ ดังนั้นทุกครั้งที่เราต้องการจะเปลี่ยนขนาด รูปร่าง ตัวหนา ตัวกว้าง เราต้องสร้างพิมพ์ขึ้นมาใหม่ทุกครั้ง
เมื่อนำทั้ง Typeface และ Font มาจัดวางให้เหมาะสมกับพื้นที่ของกระดาษ การทำอย่างนี้จะเรียกว่า "Typography" ซึ่งการจัดวาง Typeface และ Font ได้ถูกตำแหน่งและเลือกใช้ขนาดที่เหมาะสมจะช่วยให้ Artwork ของเราน่ามองมากยิ่งขึ้น
ข้อสรุปของ Typeface และ Font
Typeface จะเป็นแบบอักษรที่นักออกแบบฟ้อนต์ได้ออกแบบขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ Font เป็นหนึ่งใน Typeface ที่แตกต่างกันในเรื่องของความหนา ความกว้าง และความเอียง
ดังนั้นหากคุณกำลังจะสร้างเว็บไซต์, ทำArtwork, ออกแบบ Infographic หรือกำลังหาผู้ช่วยที่ทำโลโก้ให้กับสินค้าของคุณ DOPE EYES มีบริการครบวงจรและพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาให้คุณ!
Comments